วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

น้ำตกเขาชะเมา (น้ำตกคลองน้ำใส)
แยกจากถนนสุขุมวิทที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 274 เข้าไปประมาณ 16 กิโลเมตร ลักษณะน้ำตกเป็น
ธารน้ำใสรองรับน้ำตกขนาด
ใหญ่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ประกอบด้วยน้ำตกที่สวยงาม 8 ชั้น ได้แก่ วังมัจฉา วังมรกตผา
กล้วยไม้ น้ำตกหกสาย และผาสูง
เป็นต้น ในชั้นวังมัจฉามีปลาพลวง ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่อาศัยอยู่อย่างชุกชุม

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

หาดแม่รำพึง ชื่อดังมาก ใน เรื่องผีดุ เชื่อว่า เป็น หาดผีสิง หรือ
หาดกินคน !!

เมื่อราวสองปีก่อน ผมไปเที่ยวระยองตามคำชวนของเพื่อนชื่อสมชัยที่ทำงานธนาคารอยู่บ้านฉาง ได้
ไปเที่ยวบ้านแกลง อนุสาวรีย์สุนทรภู่ สวนสน ชายหาดสวยงามหลายแห่ง เช่น หาดทรายปากน้ำ
เมืองระยอง หาดแม่พิมพ์ หาดบ้านเพที่ลงเรือข้ามไปเกาะเสม็ดได้
เพื่อนเล่าว่าเกาะเสม็ดนั้น ชาวบ้านเรียกกันว่าเกาะแก้วพิสดาร ที่เป็นฉากในวรรณคดีเรื่องพระอภัย
มณี
หาดแม่รำพึงชื่อดังมากในเรื่องผีดุ เชื่อว่าเป็นหาดผีสิง หรือหาดกินคน!
สาเหตุเพราะมีคนจมน้ำตายทุกปี บางปีก็หลายคน โดยธรรมชาติก็คือ คลื่นลมแรง กับพื้นทรายใต้
น้ำยุบลงเป็นแอ่งลึก แม้จะเล่นน้ำตื้นๆ ก็อาจหลุดลงไปในแอ่งมรณะได้ง่ายดาย
หลายๆ คนอาจทะลึ่งตัวขึ้นมาได้ทัน แต่หลายคนก็ชะตาขาด เมื่อโผล่ขึ้นมาจะโดนคลื่นลูกโตๆ
โหมซัดจนจมหายลงไปใต้น้ำ ขาดใจตายกลายเป็นผีเฝ้าหาดมานับไม่ถ้วน...เหตุนี้เองจึงเรียกว่าหาด
ผีดุ หาดกินคน!
เชื่อกันว่าคนที่ตายซับตายซ้อน วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่นั่น เรียกว่าผีน้ำบ้าง พรายทะเลบ้าง คอยเรียก
คนชะตาขาดไปอยู่ด้วยกัน บ้างก็เชื่อว่าเมื่อเอาชีวิตคนอื่นได้ตัวเองก็จะได้ไปผุดไปเกิด แต่บ้างก็เชื่อ
ว่ามีผีเจ้าถิ่นดุร้ายมาก คอยคร่าวิญญาณดวงใหม่ๆ เพื่อเอาไปเป็นบริวาร
สมชัยเล่าว่ามีคนโดนผีหลอกหลายคนมาเล่าให้ฟัง ว่าเห็นเดินวนเวียนอยู่ตามชายหาดตอนกลางคืน
พอเห็นหน้าดำมะเมื่อม นัยน์ตาแดงจ้าราวถ่านไฟก็รู้ว่าเป็นผีเจ้าถิ่นแน่นอน
ไม่ว่าใครที่เห็นภาพสยองขวัญก็ล้วนแต่แผดร้องโหยหวน ออกวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตกันทั้งนั้นบางคนถึงกับสลบคาที่ บางคนก็จับไข้เพ้อคลั่งไปหลายวัน
                                                    
วันสุดท้ายที่ระยอง เพื่อนก็พาผมไปเที่ยวหาดแม่รำพึง
ตอนสายวันอาทิตย์มีผู้คนคึกคัก ทั้งพ่อค้าแม่ขาย นักท่องเที่ยวขวักไขว่หนาตา บ้างก็เดินเล่นกันบ้าง
หยุดชมวิวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันบ้าง สายลมพัดโชยไม่ขาดระยะ ชายหาดกว้างขวางร่มรื่น สบายใจม
ผมเห็นผู้คนลงไปเล่นน้ำ ดำผุดดำว่ายอย่างสนุก หนุ่มสาวสาดน้ำใส่กันเสียงหัวเราะร่าเริงดัง
สมชัยเล่าว่าช่วงนี้ไม่ใช่หน้ามรสุม คลื่นลมสงบ ถือว่าปลอดภัยสำหรับคนที่จะลงไปเล่นน้ำ แม้จะมี
ป้ายบอกให้ระวังอันตรายก็ตาม เพราะถ้ามีคลื่นลมแรงจะปักธงสีแดงไว้เตือนภัยและห้ามลงเล่นน้ำ
เมื่อนึกถึงภาพชายหาดตอนกลางคืนคงเปล่าเปลี่ยวน่าดู คนที่ต้องไปหาหอยหาปูต้องใจกล้า
พอสมควร ได้ข่าวว่ามีคนถูกผีหลอกจังๆ หลายราย ทำให้ต้องไปกันเป็นกลุ่มพอให้อุ่นใจ หรือไม่ก็
เลิกไปเดินท่อมๆ ที่ชายหาดอีกแล้ว เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการขวัญหนีดีฝ่อโดยใช่เหตุ
ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงหวีดร้องก็ดังก้องไปทั้งชายหาด คนอื่นๆ หันขวับไปด้วยความตกใจ
ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้ตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน!
นั่นคือ ชายคนหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำใกล้ๆ หาด สองมือชูว่อนขอความช่วยเหลือ นัยน์ตา
เหลือกลานบอกความหวาดกลัวสุดขีด ก่อนจะจมวูบลงไปในคลื่นลูกใหญ่ที่โหมซัดบัดดล
ชายหนุ่มสองคนนุ่งกางเกงอาบน้ำยืนอยู่บนหาด รีบพุ่งตัวลงน้ำเข้าไปช่วยเหลือทันที ขณะที่คน
อื่นๆ ก็วิ่งเข้าดูด้วยความตื่นเต้น ผู้หญิงสูงอายุสอง-สามคนถึงกับเป็นลมไปด้วยความตกใจกลัว
เราวิ่งเข้าไปดูด้วยใจเต้นระทึก เกือบพร้อมๆ กับที่ชายทั้งสองช่วยกันลากคนจมน้ำขึ้นมาได้อย่าง
ทุลักทุเล แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่หรา หอบหายใจถี่เร็วดว้ ยความเหน็ดเหนื่อยตื่นเต้นทั้งสามคน
ท่ามกลางไทยมุงที่ถามกันแซดว่าเกิดอะไรขึ้น? ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า? เล่นน้ำตื้นๆ คลื่นก็ไม่แรง คง
จะหลุดลงไปในแอ่งมรณะที่เป็นกับดัก ทะลึ่งตัวขึ้นมาโดนคลื่นลูกโตๆ ซ้ำเติม...ซึ่งเป็นสาเหตุ
สำคัญในการกลืนกินชีวิตผู้คนมาแล้วมากมายอย่างแน่นอน
...ชายหนุ่มที่รอดตายอย่างหวุดหวิดลุกขึ้นมาเสยผม มองเห็นไหล่กว้างอกกำยำ เล่าว่าพวกเขาทั้ง
สามคนมาจากกรุงเทพฯ ว่ายน้ำแข็ง และไม่ได้เท้าหลุดพื้นแน่นอน
เขากลืนน้ำลาย ก่อนจะเล่าต่อด้วยเสียงแหบเครือ
"ผมยืนอยู่ในน้ำตื้นๆ เหนือเอวขึ้นมานิดหน่อย กำลังกวักมือเรียกเพื่อนให้ลงมาเล่นน้ำด้วยกัน จู่ๆ ก็
มีอะไรไม่รู้มาพันขา แล้วดึงวูบจนผมจมดิ่งลงไปเลย...มันคล้ายกับมือคนจริงๆ"
เสียงผู้หญิงวี้ดว้าย บางคนก็ยกมือปิดปาก...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในน้ำแม้แต่คนเดียว เสียงคลื่นลม
สาดซ่าฟังเผินๆ เหมือนมีใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะเย้ยหยันมาจากใต้ทะเล ฟังแล้วขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
อยู่ห่างจากตัวเมืองระยอง ประมาณ 11 กิโลเมตร จากถนนสุขุมวิท มีทางแยกขวาที่กิโลเมตร 229
เข้าหาดแม่รำ พึงชายหาดมีความ
ยาว 12 กิโลเมตร สุดหาดเป็นที่ตั้งของบ้านก้นอ่าว ถนนเลียบชายหาดยาว 10 กิโลเมตร มีที่พัก
สำหรับนักท่องเที่ยวมากมายชายหาด
สะอาด สามารถเล่นน้ำได้
หาดแม่รำพึง - ลานหินขาว - บ้านก้นอ่าว
แต่เดิมที่บริเวณหาดแม่รำพึงและบ้านก้นอ่าว เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านของชาวประมงเล็ก
แห่งหนึ่ง และบ้านก้นอ่าว เป็นหมู่บ้านที่ไกลที่สุด
ในอดีตและมีลักษณะเป็นอ่าวเล็กๆ จึงเรียกกันว่าบ้านก้นอ่าว และส่วนหาดแม่รำพึงก็มี
ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่ามีหญิงสาวชาวบ้าน
ได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตายบริเวณนี้เนื่องจากผิดหวังในความรักจึงเป็นที่มาของ "แม่รำพึง"
                                                  
อะควาเรียม :: Rayong Aquarium
ตั้งอยู่ที่ริมอ่าวบ้านเพ ตำบลเพ เป็นสถานที่ศึกษา ทดลองและวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ทะเลและพรรณไม้น้ำ
อีกทั้งยัง เป็นแหล่งรวบรวม
พันธุ์สัตว์น้ำที่สวยงามและหายาก รวมทั้งความรู้ทางด้านทรัพยากรสัตว์ทะเลและการประมง โดย
แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรกจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ โดยรวบรวมและจัดแสดงพันธุ์ปลาสวยงาม + ปลาเศรษฐกิจ สัตว์น้ำ
ที่หายาก และพรรณไม้น้ำของไทย อุโมงค์ทางเดินใต้ทะเลจำลอง สัมผัสกับสัตว์ทะเล
ส่วนที่สอง จัดแสดงนิทรรศ การ โดยแสดงชีวประวัติสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม วิวัฒนาการของ
เรือประมงและเครื่องมือประมง
จำลองนิเวศน์ป่า ชายเลนและส่วนที่สาม จัดแสดงพิพิธภัณฑ์ โดยนำตัวอย่างของสัตว์ทะเลที่
น่าสนใจ เช่นปะการัง หอยทะเล
อะควาเรียม (สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง)
ตั้งอยู่ที่ หมู่ 2 ต.เพ เปิดให้เข้าชม วันพุธ-ศุกร์ เวลา 10.00-16.00
น. วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00-17.00 น.
                                              




วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

หาดจอมเทียน

เป็นหาดที่อยู่ทางทิศใต้อยู่หางจากตัวเมืองพัทยาประมาณ 4 กิโลเมตร ชายหาดมีความยาว 6
กิโลเมตร มีถนนที่ร่มรื่นเลียบชายหาดโดยตลอด หาดนาจอมเทียนเป็นหาดที่เงียบสงบ นักท่องเที่ยว
ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศนิยมเดินทางไปพักฝ่อน เล่นน้ำ เล่นกระดานโต้คลื่น ขับเรือสกู๊ต
เตอร์และเล่นกิจกรรมทางน้ำอื่นๆบริเวณชายหาดมีร้านอาหารร้านค้า ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว
หาดจอมเทียน มีถนนที่ร่มรื่นเลียบชายหาดโดยตลอด มีร้านอาหาร ร้านค้าไว้คอย
บริการนักท่องเที่ยว มีโรงแรมหรู รีสอร์ทดีๆ คอนโดมิเนียม ร้านอาหารทะเลสดๆ ตั้งอยู่
ตลอดแนว ทางด้านชายหาดเป็นหาดที่เงียบสงบชวนพักผ่อน เล่นน้ำ และสนุกสนานกับ
กิจกรรมทางน้ำที่มีให้บริการแทบทุกชนิด เช่น กระดานโต้คลื่น ขับเรือสกู๊ตเตอร์ เจ็ทสกี
และวินด์เซิร์ฟ เป็นต้นส่วนผู้ที่ชอบนอนพักผ่อนรับลมทะเล ก็มีเตียงผ้าใบพร้อมร่ม
ชายหาดให้บริการ
ในตอนเย็นๆก็มีวิวยามสวยๆอาทิตย์ตกให้ชมอีกด้วย
หาดจอมเทียนนี้เป็นสถานที่ที่ครบอครัวส่วนใหญ่จะเลือกมาพักผ่อน เนื่องจากเป็นหาดที่สงบและมี
สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหาดพัทยา หาดพัทยานั้นเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่น
ชอบปาร์ตี้
หาดจอมเทียนนั้นมีการให้บริการเจ็ทสกี และวินด์เซิร์ฟเนื่องจากมีชายหาดที่ยาวและมีเรือและ
สมอเรือน่อย นอกจากนี้น้ำทะเลยังสะอาดกว่า และยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการว่ายน้ำด้วย

หาดจอมเทียนนั้นจะเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ พยายามที่ขายตั้งแต่ไอศกรีม ผลไม้ และอื่นๆใน
ขณะที่คุณต้องการพักผ่อนโดยการนั่งบนเก้าอี้ริมชาย ซึ่งอาจจะก่อความรำคาญให้แก่คุณแต่หาด
จอมเทียนนี้ยังดีกว่าหาดพัทยา
นอกจากนี้แล้วหาดจอมเทียนยังมีร้านอาหารหลากหลายประเภทจากหลายแห่งทั่วโลก ณ สวนสนุก
พัทยาปาร์คในบริเวณหาดจอมเทียนนั้นมีให้บริการภัตตาคารที่หมุน 360 องศา ซึ่งคุณสามารถดูวิว
พัทยาจากมุมสูงบนชั้นที่สูงที่สุดของอาคารซึ่งจะหมุนไปเรื่อยๆ ไม่ควรพลาดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้
พัทยาปาร์ค เป็นสวนสนุกตั้งอยู่ที่หาดจอมเทียน มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ น้ำวน และสไลด์เดอร์
ขนาดใหญ่ บัตรผ่านประตูราคาอยู่ที่ 100 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และ 50 บาทสำหรับเด็กที่ส่วนสูงไม่
เกิน 120 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆที่ไม่ควรพลาด เช่น กระโดดหอ รถไฟเหาะ และ
อื่น ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

ประวัติความเป็นมาของทะเลน้อย
ทะเลน้อยได้เข้าเป็นภาคีลำดับที่ 110 ของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งพันธกรณีของ
อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2541 การเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำที่มี ความสำคัญระดับ
นานาชาติบรรจุไว้ในทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความ สำคัญระหว่างประเทศเป็นภารกิจหลักที่ประเทศ
ภาคีต้องดำเนินการ พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ
Ramsar Siteแห่งแรกของประเทศไทย คือ พรุควนขี้เสียน อยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย มี
พื้นที่ประมาณ 3,085 ไร่ จากนั้นจึงได้ประกาศพื้นที่บริเวณตำบลทะเลน้อย ตำบลพนางตุง อำเภอ
ควนขนุน จังหวัดพัทลุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา อำเภอชะอวดและอำเภอหัวไทร จังหวัด
นครศรีธรรมราช เนื้อที่ประมาณ 457 ตารางกิโลเมตร (285,625 ไร่)
ประเด็นสำคัญที่ควรรู้
อนุสัญญาแรมซาร์ไม่ละเมิดอำนาจอธิปไตยของภาคี ซึ่งเป็นเจ้าของดินแดนที่มีพื้นที่ชุ่ม
น้ำ อนุสัญญาแรมซาร์เป็นอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ส่งเสริมให้ประเทศต่างๆ มีการ
อนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมชุมชน พื้นที่ชุ่มน้ำใดที่ได้รับการเสนอเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มี
ความสำคัญระหว่างประเทศแล้ว ต่อมามีความจำเป็น ภาคีสามารถเพิกถอนออกจาก
ทำเนียบหรือจำกัดขอบเขตใหม่ได้ แต่ทั้งนี้ต้องเสนอพื้นที่อื่นทดแทนด้วย
ความหลากหลายทางชีวภาพ
บริเวณป่าพรุ มีพันธุ์ไม้เด่น ได้แก่ ต้นเสม็ดหรือป่าเสม็ดซึ่งเป็นแหล่งทำรังของนกน้ำขนาดใหญ่
เช่น นกกาบบัวและ นกกระสาแดง บริเวณพื้นน้ำหรือที่เรียกว่า "ทะเลน้อย" มีชนิดพันธุ์พืชน้ำ
นานาชนิด ได้แก่ กง สาหร่ายต่างๆ กระจูด ผักตบชวา ละบัวชนิดต่างๆ เป็นแหล่งหาอาหารของนก
น้ำในทะเลน้อย บริเวณป่าดิบชื้น ซึ่งอยู่เชิงเขาที่น้ำท่วมไม่ถึงและตรงรอยเชื่อมต่อกับเทือกเขา
บรรทัด บริเวณนี้จะพบไม้ต้นและไม้พื้นล่างที่แตกต่างไปจากบริเวณอื่นๆ บริเวณพื้นที่เกษตรกรรม
เป็นแหล่งเพาะปลูก พืชปลูกส่วนใหญ่เป็นไม้ผล บริเวณป่าพรุจาการสำรวจชนิดพันธุ์พืชบริเวณ
พื้นที่ป่าพรุควนขี้เสียน และ ป่าพรุควนเคร็ง ซึ่งเป็นลักษณะเป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมถึง และเป็นพื้นที่
ชุ่มน้ำอย่างแท้จริง พบว่าส่วนใหญ่เป็นพืชล้มลุกในวงศ์กก (Cyperaceae) และวงศ์หญ้า (Poaceae)
ไม้ล้มลุกเด่นที่พบมาก ได้แก่ จูดหนู (Eleocharis ochrostachys) และแห้วทรงกระเทียม (E. dulcis)
นอกจากนี้ยังพบไม้ยืนต้นเด่น ได้แก่ เสม็ด เสม็ดขาว เสม็ดชุน และยังพบเฟิน เช่น กูดยาง) และผัก
กูดขม บริเวณควนขี้เสียน ซึ่งมีสภาพพื้นที่เป็นพื้นที่ดอน บางบริเวณเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์
สลับกับเนินดิน หรือควนไม่สูงมากนัก เป็นบริเวณที่มีพันธุ์พืชพื้นเมืองเดิมเจริญอยู่พื้นที่ ได้แก่ ต้น
เนียน

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

เที่ยวทะเลบางขุนเทียน
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวกรุง ทั้งหลาย ช่วงนี้หลายๆคนที่เที่ยวทะเลกันเป็นประจำ ก็คจะต้องเสียดาย
ชายฝั่งอันดามันอันสวยงาม และก็คงจะต้องใช้เวลาอีก หลายปีกว่าสภาพธรรมชาติจะกลับมาสู่
สภาพเดิม ก็คงจะได้แต่ส่งแรงใจไปช่วยชาวใต้กันให้กลับฟื้นขึ้นมาไวๆ ก็แล้วกัน
สถานที่ท่องเที่ยวชายฝั่งที่สูญเสียไป แม้ไม่อาจจะทดแทนกันได้ แต่เราก็ยังมีชายฝั่งด้านอ่าวไทยที
ยังสามารถไปพักผ่อนกันได้ วันนี้เลยอยากจะแนะนำลงใน "สองเท้าพาเดิน" กันเสียหน่อย อย่าหา
ว่าเชยเลยนะครับ เพราะว่าหลายๆคนที่บอกว่าอยู่กรุงเทพมานานแล้วก็ยังไม่เคยไปเลย
เขาว่ากันว่าบางขุนเทียนเนี่ยเป็นทะเลที่เดียวของกรุงเทพ และบริเวณใกล้เคียงยังมีสถานที่
ท่องเที่ยวอีกหลายอย่าง
ทะเลบางขุนเทียนนั้นมีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 9 และ 10 แขวงท่าข้าม เขตบาง
ขุนเทียน บริเวณโดยรอยยังคงควมเป็นธรรมชาติ ตามชายฝั่งเต็มไปด้วยฝูงนกนางนวล เหยี่ยว อีกา
และมีป่าชายเลน ป่าแสม รวมทั้งป่าโกงกางขึ้นอยู่ทั่วไป

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

บางแสน มนต์เสน่ห์ที่ไม่เคยเสื่อมคลาย
บางแสน ทะเลใกล้กรุง ขวัญใจคนทุกวัย
                                               


ทั้งๆ ที่ทะเลที่ไหนๆ ก็มีสีเขียวๆฟ้าๆ มีรสเค็มๆเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้ว “ทะเลที่ไหน ๆ ก็ไม่
เหมือนกัน”
เพราะเสน่ห์ของทะเลย่อมมีจุดแตกต่างให้จดจำ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เองก็ผ่านมาก็ร้อยเอ็ดเจ็ดย่าน
สมุทร แต่ก็ยังไม่เคยลืมเลือน“ทะเลแรก” ที่ทำให้ได้รู้จักกับคำว่า “ทะเล” เพราะทะเลแรก ก็
เหมือน “รักแรก” ที่มีเรื่องราวและความประทับใจมากมายเกิดขึ้น
สำหรับ“ทะเลแรก” ของ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ที่ยังจดจำไม่เคยลืม ก็คือ “ทะเลบางแสน” และก็คง
เป็นทะเลแรกของใครหลายๆ คน เพราะเป็นทะเลที่ใกล้กรุงเทพฯ เดินทางไปมาสะดวกสบาย ผ่าน
ไปกี่ยุคกี่สมัย ตั้งแต่รุ่นคุณปู่จนมาถึงตอนนี้ ก็ยังเป็นสถานที่พักผ่อนท่องเที่ยวยอดนิยมที่ไม่เคยร้าง
ผู้คน แม้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ชื่อเสียงของบางแสนอาจหมองมัวกับความสกปรกและความไม่เป็น
ระเบียบเรียบร้อยไปบ้าง
แต่ว่าก็เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพราะช่วงไม่กี่ปีมานี้ชาวบ้านแสนก็ได้พยายามที่จะ พลิกฟื้นกลับมา
สวยงาม เรียกมนต์เสน่ห์ให้ผู้คนได้กลับมาหลงใหลเหมือนเดิม
บางแสนในวันนี้ได้รับการจัดระเบียบให้สะอาดเรียบร้อยขึ้น แต่ถึงกระนั้นบางแสนก็ไม่เคย
ร้างราแม่ค้า-พ่อค้าที่มาเดินขายของให้นัก
“ฟ้าและท้องทะเลกับลมนั้นมีอยู่ แต่ใครจะรู้ จะรู้ว่ามีอะไรในใจฉัน…”
“ผู้จัดการท่องเที่ยว”กำลังฮัมเพลง “ให้เธอ” อย่างมีความสุข ซึ่งอาจจะเทียบไม่ได้กับเจ้าของ
เสียงเพลงตัวจริงอย่าง“พี่โต๊ะ” วสันต์ โชติกุล แต่ก็พอทำให้บรรยากาศในตอนนี้ลงตัวทีเดียว เพราะ
ตอนนี้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” กำลังอยู่ที่ชายหาดทะเลบางแสนในยามเย็น ปล่อยอารมณ์เพลินๆ ไป
กับการดูพรายฟองคลื่นที่กระทบฝั่งเป็นระยะ ประหนึ่งว่ากำลังแสดงมิวสิควีดีโออยู่ยังไงยังงั้น
แน่แล้ว อาการอย่างนี้ไม่ต้องบอกก็พอรู้ได้ว่าจะมีความสุขขนาดไหน ไม่ใช่แค่สุขที่ได้มาเที่ยว แต่
เป็นสุขที่ได้มาเยือนบางแสนอีกครั้ง
บางแสนในวันนี้ดูเปลี่ยนแปลงไปมาก เธออาจจะไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านป่าที่สวยอย่างธรรมชาติ
เหมือนก่อน เพราะตอนนี้เธอได้ถูกแต่งหน้าแต่งหน้าให้สวยเฉี่ยวดูดีและทันสมัยขึ้น แต่เธอก็ยังคือ
เธอ คือบางแสนแสนเสน่ห์ ที่ไม่ว่าวันไหนๆ ก็ยังมีผู้คนมากมายหลั่งไหลไปเยี่ยมชมและพักผ่อน
กัน
เสน่ห์ของจุดชมวิวบนเขาสามมุข นอกจากจะมองเห็นแหลมแท่นได้อย่างชัดเจนแล้วยังมีเจ้าจ๋อมา
เป็นแบบคอยสร้างสีสันให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
                                                
จริงๆ แล้วที่เปรียบเทียบบางแสนเป็นผู้หญิงอาจจะไม่ถูกต้องนัก ต้องเปรียบบางแสนเป็นผู้ชาย
เพราะมีตำนานเล่าว่ามีหญิงสาวสวยชื่อ “สามมุก” ได้ผูกสมัครรักใคร่กับหนุ่มชื่อ “แสน” ลูกชาย
กำนันบ่ายเศรษฐีแห่งบ้านอ่างหิน (อ่างศิลา) ทั้งคู่มักจะแอบไปเล่นว่าวเชื่อมสัมพันธ์รักกันบ่อยๆ
(เอ่อ ว่าวที่เป็นว่าวจริงๆ อย่าคิดเป็นอื่นไป) แต่เพราะฝ่ายชายมีฐานะร่ำรวยกว่า พ่อแม่ของแสนก็เลย
บังคับให้แสนแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อแม่จัดหาให้
สามมุกเสียใจมาก ได้วิ่งไปกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย
ฝ่ายแสนก็กระโดดน้ำตายตามอีกคน
จากเหตุการณ์นี้ ภูเขาที่เป็นอนุสรณ์แห่งความรักของแสนและสามมุก จึงชื่อว่า “เขาสามมุข” ส่วน
ชายหาดในบริเวณใกล้เคียงก็ได้ชื่อว่า “บางแสน”
ผู้จัดการท่องเที่ยว” ขอบอกว่าตอนนี้ถนนหนทางของบางแสนทั้งสวยงามและกว้างขวาง มีสิ่ง
อำนวยความสะดวกครบถ้วนทั้ง บังกะโล ห้องอาบน้ำจืด ที่จอดรถก็มีมาก ส่วนความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยอื่นๆ ก็ดีขึ้น พ่อค้าแม่ขายก็ไม่มีการตื๊อขายของให้รำคาญใจเหมือนเก่า ถ้าชอบสบายก็เช่า
เตียงผ้าใบนั่งกินสารพันเมนูอาหารที่จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาเสิร์ฟถึงที่ในราคาที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ทั้งส้มตำปูม้า ทอดปูกุ้งกรอบ ทอดมัน กุ้งเผา หมึกย่าง แต่ที่กลิ่นหอมเตะจมูกที่สุด เห็นจะเป็นไก่
ย่างสีเหลือง ๆ ที่แม่ค้าบอกว่าหมักขมิ้นกับพริกไทย ของกินทุกอย่างก็ถือว่าเป็นราคาพองามไม่แพง
จนเกินไป
นี่จึงอาจจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของบางแสนที่คนทุกระดับสามารถจะมาเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวล
เรื่องค่าใช้จ่ายให้ละเหี่ยหัวใจ..
มองไปที่ชายหาด เห็นเด็กตัวเล็กๆ กำลังเล่นทรายอย่างเพลิดเพลิน ส่วนที่ทะเลก็เห็นเด็กๆ เขาเล่น
น้ำกันอย่างสนุกสนาน ไกลออกไปหน่อยก็เป็นกลุ่มหนุ่มสาวกำลังเฮฮาร่าเริงกับบานาน่า
โบท “ผู้จัดการท่องเที่ยว” มองหาเตียงผ้าใบหลากสีที่วางเรียงรายเต็มหาดแต่ก็ไม่มีตัวไหนว่างเลย
แต่ไม่เป็นไร ลมเย็นๆ ในวันฟ้าใสๆ อย่างนี้เช่าจักรยานปั่นออกไปเที่ยวให้ทั่วบางแสนท่าจะดีกว่า
ว่าแล้วก็จัดการเลือกจักรยานคู่ใจมุ่งหน้าไปทางแหลมแท่นที่อยู่ใกล้ๆ กับชายหาดบางแสนทันที
แม้ว่าแหลมแท่นจะปรับโฉมใหม่ แต่ว่าภาพเก่าๆของหนุ่ม-สาวมานั่งชมอาทิตย์อัสดงอย่างใน
โฆษณาสุรายี่ห้อหนึ่งก็ยังมีอยู่ทั่วไป
                                                  

“มีเพียงหาดทราย ทะเล สายลม กับสองเรา ยินเพียงแผ่วเบา ยินเพียงเสียงคลื่น กับเสียงเรา…”
เพลงฟากฟ้าทะเลฝันของป้าเบิร์ด (ขอถือวิสาสะนับญาติหน่อยนะป้าเบิร์ด) นี่ก็เป็นอีกเพลงที่ชอบ
มาก เมื่อมาร้องเบาๆ ก็ยิ่งเข้ากับบรรยากาศของแหลมแท่นตอนนี้ เพราะที่นี่เป็นแหลมที่ยื่นออกไป
ในทะเล ได้ยินเสียงคลื่นทะเลชัดๆ ซัดมาเป็นระยะ
และไมว่ ่ากี่ปีๆ ผ่านไปในชว่ งเย็นๆ ก็ยังเห็นผู้คนมากมายมารวมตัวกันชมพระอาทิตย์ตกทะเลที่
แหลมแท่นแห่งนี้
ยืนยันได้จากโฆษณาสุรายี่ห้อหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่เป็นภาพของชายหนุ่ม (เหลือน้อย) ผู้อยู่ใน
อารมณ์สุนทรีย์มีเครื่องดื่มยี่ห้อดังวางอยู่ใกล้ๆ วาดภาพของคู่รักที่ตระกองกอดมองพระอาทิตย์ยาม
เย็น แต่ปรากฏว่าภาพในเฟรมผ้าใบ แทนที่จะเป็นชายหนุ่มคู่รักของหญิงสาวนางนั้น กลับกลายเป็น
ตัวเขาเองที่กำลังตระกองกอดหญิงสาวอย่างมีความสุข ซึ่งสถานที่ตัวละครในโฆษณานั้นก็คือ
แหลมแท่นแห่งนี้เอง
จึงไม่น่าแปลกใจถ้าจะเห็นทุกๆเย็น ที่แหลมแท่นจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มารอชมพระอาทิตย์
ตกทะเล และที่ศาลาสวยๆ ปลายแหลมแท่นนี้ก็เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นออกไปได้กว้างไกลทั้งหาด
บางแสนและเขาสามมุข
เขาสามมุข ที่ว่า ก็คือที่เดียวกันกับที่เป็นตำนานเรื่องราวของสาวมุก เมื่อขึ้นมาบนนี้แล้วก็จะมีจุดชม
วิวที่มองเห็นแนวชายหาดบางแสน แหลมแท่น ไปจนถึงศรีราชา พัทยา หรือเลยไปถึงเกาะล้านเลย
ทีเดียว เขาแห่งนี้มีศาลเจ้าแม่เขาสามมุข เป็นศาลไทยและศาลจีนเป็นที่เคารพสักการะของ
ชาวประมงในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวผู้ผ่านไปมา
ที่บริเวณศาลนี้จะมีลิงอยู่มากมาย ซึ่งก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าเอาพวกกล้วย ถั่ว แตงกวา ใหนั้กท่องเที่ยวได้
ซื้อเป็นอาหารให้เจ้าลิงทั้งหลาย แต่เพราะเจ้าลิงพวกนี้ชอบกินทิ้งกินขว้าง บริเวณนี้ก็เลยออกจะ
สกปรกสักหน่อย (ถ้าใครบอกให้มันช่วยเอาเศษผลไม้ไปทิ้งขยะได้ ก็คงจะดีไม่น้อย) แต่ที่สำคัญ
ใครที่ไปก็ต้องระมัดระวังกันให้ดีหน่อย เจ้าลิงบางตัวอาจจะทั้งดื้อทั้งดุ อยู่ดีๆ โผล่มาคว้าของที่เรา
ถืออยู่หายเข้าไปในป่าเลยก็ได้
นอกจากนี้แล้วที่เขาสามมุขยังมีร้านอาหารทะเลที่อร่อยๆ อยู่หลายร้าน ซึ่งรับรองทุกร้านนั้น
รับประกันความสดใหม่ เพราะอยู่ไม่ไกลจากสะพานปลาเท่าไหร่นัก
พอพูดถึงสะพานปลาก็ให้นึกถึงว่า จริงๆ แล้วอาชีพของชาวบางแสนส่วนหนึ่งก็คือการทำประมง ที่
ดำเนินชีวิตด้วยการออกทะเลหาปลาด้วยเรือเล็กๆ เครื่องมือง่ายๆ ก็เลยมีชุมชนชาวประมงอยู่หลาย
แห่ง เช่นที่ แหลมแท่น อ่างศิลา แต่ที่เป็นชุมชนใหญ่ตอนนี้ก็คืออยู่ที่ “หาดวอนนภา” ซึ่งชาวชุมชน
บางส่วนยังมีอาชีพที่เป็นผลผลิตที่เกิดจากการประมง อย่างทำน้ำปลา ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้ง
ต่างๆ ก่อนจะกลับบ้านไปก็น่าจะลองแวะไปซื้อเป็นของฝาก รับรองว่าไม่แพง เพราะเป็นราคาที่ส่ง
ขายราคาเดียวกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาด
บานานาโบท กิจกรรมสุดฮิตของคนมาเที่ยวบางแสน
                                             

อยากเก็บคลื่นขาวๆ เอามาฝาก อยากเก็บหาดทรายสวย สวยสะอาด น้ำทะเลใสๆ สดใส แต่เก็บไม่ได้
อยากหยิบทะเลใสใส่ในขวด แต่คงไม่สวยไม่ใส ไม่ใช่ทะเล ...”
เพลงของฝากจากทะเล ที่พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง (ญาติแต่ในนามอีกคนของผู้จัดการท่องเที่ยว) ร้องไว้เมื่อ
หลายปีก่อน แต่ยังเพราะเสนาะหู ฟังเมื่อไหร่ก็ไม่มีเบื่อ และเพลงนี้ยังโดนใจ “ผู้จัดการ
ท่องเที่ยว” เข้าอย่างจัง เพราะทุกครั้งที่ไปเที่ยวบางแสน ก็มักจะแวะเข้าไปเที่ยวที่สถาบัน
วิทยาศาสตร์ทางทะเล ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งที่แห่งนี้เป็นที่ศึกษาและรวบรวมเรื่องราวของ
สัตว์ทะเลไว้อย่างครบครัน
เป็นการยืนยันและค้านพี่จุ้ยอยู่หน่อยๆ ว่าถึงเราจะเก็บเอาคลื่น เอาหาดทราย หรือเอาน้ำทะเลมาเก็บ
ไว้ไม่ได้ แต่ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล สามารถจะเก็บของจริงๆทุกอย่างที่ว่า รวมถึงบรรดา
สัตว์น้ำเค็มทั้งหลายให้มาในตู้กระจกใบใหญ่ๆ แสดงถึงชีวิตใต้ท้องทะเลที่ทั้งสวยงามตระการตา
และดูแปลกมหัศจรรย์ในคราวเดียวกัน ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตสัตว์น้ำเค็มที่บางอย่างบางชนิดก็ใกล้จะ
สูญพันธุ์แล้ว ที่แห่งนี้จึงเหมาะกับทุกคนที่อยากจะศึกษาเรียนรู้เรื่องราวใต้ท้องทะเล
เพราะถึงจะไปเที่ยวทะเลมานักต่อนัก แต่ไม่เคยรู้เรื่องของทะเลเลย ก็เหมือนกับว่าเรายังไม่เข้าใจ
ทะเลอย่างแท้จริง
โน่นทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล”
“ผู้จัดการท่องเที่ยว” ขอตบท้ายด้วยเพลง “ทะเลแสนงาม” เพลงทอปฮิตที่เกี่ยวกับทะเลซึ่งใครๆก็
ต้องร้องได้ เพราะสมัยเป็นเด็กอนุบาลคุณครูก็จะสอนให้ร้องเพลงนี้ มีท่าประกอบสวยงามน่ารัก
สมวัย พอโตขึ้นเรียนมหาวิทยาลัย มีกิจกรรมที่ทะเลอยู่บ่อยๆ ก็ยังต้องร้องเพลงนี้อยู่ แต่รู้สึกว่าท่า
ประกอบจะเปลี่ยนไป กลายเป็นท่าพิลึกกึกกือที่เข้าขั้นไม่น่าเลียนแบบ แถมอาจจะมีการเพี้ยนเนื้อ
ร้องที่ฟังแล้วอาจจะแปลกๆไปบ้าง
จนมาถึงตอนนี้ที่อายุอานามอาจจะเลยผ่านการใส่เครื่องแบบผู้ใฝ่หาความรู้ แต่เพลงนี้ก็ยังร้องได้ติด
ปาก ก็เหมือนกับ “ทะเลบางแสน” ที่กี่ปีๆผ่านไป ทะเลแห่งนี้ก็จะยังเป็นทะเลที่มีมนต์เสน่ห์ไม่เคย
ลืมเลือนไปจากใจ

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

ประวัติความเป็นมา ชะอำ
จังหวัดเพชรบุรี ตั้งอยู่ริมทะเลฝั่งอ่าวไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เป็นระยะทาง 123 กิโลเมตร เป็น
เมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน โดยมีชื่อปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยสุโขทัย
และมีหลักฐานทางโบราณคดี คือมีศิลปวัตถุมากมาย ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เพชรบุรีเคย
เป็น บ้านเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นชุมชนถาวรซึ่งมีอายุย้อนไปถึงสมัยขอมและสมัยทวาราวดี.
เมืองเพชรบุรี เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมา ตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของไทย
ในกลุ่มหัวเมืองฝ่าย ตะวันตกที่มีชื่อเรียกปรากฏในหนังสือ ชาวต่างประเทศ เช่น ชาววิลันดา
เรียกว่า พิพรีย์ ชาวฝรั่งเศสเรียกว่า พิพพลี และ ฟิฟรี ซึ่งคงเป็นชื่อเดิมของเมือง เพชรบุรี.
นอกจากนี้ชื่อ เพชรบุรี มีปรากฏเป็นหลักฐานมา ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สันนิษฐานว่า
ที่มาของชื่อ มีที่มา 2 ทาง คือ ทางแรกเป็นการเรียกตามชื่อแม่น้ำเพชร ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นการเรียก
ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ในสมัยโบราณได้ปรากฏว่ามีแสงระยิบระยับในเวลากลางคืนที่เขา
แด่น.
ในสมัยสุโขทัย เพชรบุรี มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นนอก มีข้อสันนิษฐานว่า ต้นวงศ์กษัตริย์ของ
เพชรบุรีในช่วงสมัย สุโขทัย คือ พระพนมทะเลสิริ ผู้เป็นเชื้อสายของพระเจ้าพรหมแห่งเวียงไชย
ปราการ ราชวงศ์นี้ได้ครองเมืองเพชรบุรีมาจนถึงสมัยอู่ทอง จึงได้เสด็จไปสถาปนากรุงศรีอยุธยา
เป็นราชธานี.
ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือคำให้การของชาวกรุงเก่า ได้กล่าวถึงพระอินทราชาผู้ครองเมือง
เพชรบุรี ที่ขนานนามใหม่ว่า นครหลวง มีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระนางมณีมหา ทรงพระ
นามว่าอู่ทอง เมื่อพระอินทราชาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอู่ทองก็ครองนครเพชรบุรี ต่อจากพระราชบิดา
ต่อมานครเพชรบุรีได้เกิดข้าวยากหมากแพงผู้คนอดอยาก ช้างม้าโคกระบือป่วยไข้ล้มตายไปเป็น
จำนวนมาก พระเจ้าอู่ทองก็ทรงย้ายราชธานีมาสร้างพระนครใหม่ที่หนองโสน ให้นามว่า
กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา.
อีกประการหนึ่งคือ หนังสือราชอาณาจักรสยาม ของลาลูแบร์ ได้กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 1300 พระ
เจ้าพรหมได้ครองเมืองไชยปราการ และต่อจากนั้นมาจนถึงกษัตริย์องค์ที่ 11 คือ พญาสุนทรชัยเทพ
รัตน์ จึงทรงย้ายนครหลวงมาอยู่ที่ท่าเสา และได้มีกษัตริย์ ครองต่อมาจนถึงองค์ที่ 22 คือ พระพนม
ทะเล ได้มีความจำเป็นที่จะต้องอพยพ ผู้คนไปสร้างเมืองอยู่ที่นครไทย และเลยไปสร้างเมืองพิบพลี
(เพชรบุรี) ด้วย อยู่มาจนถึงกษัตริย์องค์ที่ 26 พระนามว่า รามาธิบดี จึงได้ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 1894,แต่อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานดังที่ได้กล่าวมา ก็ยังไม่เป็นข้อยุติ ว่าถูกต้องและ
แน่นอน ยังคงต้องมีการวินิจฉัยสำรวจหาหลักฐานสนับสนุน จากผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็แสดงให้เห็นได้
ว่า เพชรบุรี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ มาตั้งแต่อดีตกาล นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในด้าน
ประวัติศาสตร์อีกด้วย.
เพชรบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธ ยาตอนต้น ได้ขึ้นตรงต่ออยุธยาในแบบศักดินาสวามิภักดิ์ มีฐานะเป็น
หัวเมืองชั้นใน มีขุนนางควบคุมเป็นชั้นๆ ขึ้นไป แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัย
พระบรมไตรโลกนาถ อำนาจในส่วนกลางมีมากขึ้น เพชรบุรียังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกรุงศรี
อยุธยา ดังนั้น อำนาจจากส่วนกลางจึงมี ส่วนในการปกครองมากกว่าเดิม
ในสมัยพระมหาธรรมราช ทางเขมรได้ให้พระยาจีนจันตุ ยกทัพมาตีเมืองเพชรบุรี แต่ ชาว
เพชรบุรีต่อสู้ป้องกันเมืองไว้ได้ ต่อมาพระยาละแวก ได้ยกทัพมาด้วยตนเอง โดยมีกำลังประมาณ
7,000 คน เมืองเพชรบุรีจึงตกเป็นของเขมร จนถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตีเขมรชนะ
เพชรบุรีจึงเป็นอิสระอีกครั้ง พระองค์ทรงโปรดเมือง เพชรบุรีมากจึงเสด็จมาประทับเป็นเวลานาน
ถึง 5 ปี.
ตามตำนานเมืองเพชรบุรีและชาวเมือง เพชรบุรีได้ร่วมกันเป็นกำลังในการต่อสู้กับ ข้าศึกหลาย
ครั้ง นับตั้งแต่ สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเชษฐาธิราช และสมัยพระเจ้าเอกทัศน์
โดยเฉพาะในสมัยพระเพทราชานั้น การปราบปรามเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งแข็งเมือง พระยา
เพชรบุรีได้เป็นกำลังสำคัญในการส่งเสบียงให้แก่กองทัพฝ่ายราชสำนักอยุธยา
นอกจากนี้ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทหารญี่ปุ่นได้ก่อความวุ่นวายขึ้นในกรุงศรีอยุธยา.
พระเจ้าทรงธรรมได้ขับให้ทหารญี่ปุ่นเดินทางออกจากเมือง ระหว่างนั้นทหารญี่ปุ่นได้ยึดเมือง
เพชรบุรีไว้ พระเจ้าทรงธรรมจึงยกทัพไปปราบ และขับไล่ทหารญี่ปุ่นออกนอกประเทศ,หลังจาก
นั้นเมืองเพชรบุรีถูกตีแตกอีกครั้ง เมื่อพม่า โดย มังมหานรธรา ได้ยกมาตีไทย จนไทย ต้องเสียกรุง
ศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 (พ.ศ.2310) นั่นเอง.
ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ บ้านเมืองสงบสุข ความสวยงาม และ บรรยากาศที่น่าอยู่ของเมือง
เพชรบุรี ได้ทำให้ เพชรบุรี มีสถานที่สำคัญๆ เกิดขึ้นหลายแห่ง ดังจะเห็นได้จาก,ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงโปรดเมือง เพชรบุรีมาก จึงโปรดฯให้สร้าง
พระราชวังขึ้นบนภูเขาเตี้ยๆ ใกล้ตัวเมือง และพระราชทานนามว่า พระนครคีรี เพื่อ ใช้เป็นที่ต้อนรับ
แขกเมือง.

พระนครคีรี ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้โปรดฯให้
สร้างพระราชวังขึ้น อีกแห่งหนึ่งในตัวเมืองเพชรบุรีคือ พระรามราชนิเวศน์ หรือ วังบ้านปืน

พระรามราชนิเวศน์ หรือ วังบ้านปืน และด้วยความเชื่อที่ว่าอากาศชายทะเล อาจบรรเทาอาการ
เจ็บป่วยได้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) จึงโปรดฯให้สร้างพระราชวัง พระ
ราชนิเวศน์มฤคทายวัน ขึ้นที่ชายหาดชะอำ

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ชายหาดชะอำ เป็นชายหาดที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี มีข้อ
สันนิษฐาน ที่มาของคำว่า “ชะอำ” ว่าแต่เดิมชะอำมีชื่อว่า "ชะอาน" เล่าสู่กันฟังว่าเมื่อครั้งสมเด็จ
พระนเรศวรยกทัพมาทางใต้ ทรงนำทัพมาเมืองนี้เพื่อพักไพร่พลช้างม้า และล้างอานม้า ซึ่งได้ชื่อว่า
"ชะอาน" ต่อมาเพี้ยนเป็น "ชะอำ",ชะอำในอดีตมีความเจริญด้านการท่องเที่ยว ตั้งแต่มีเส้นทาง
คมนาคมทางรถไฟ พ.ศ.2459 แต่เดิมเป็นตำบลในเขตการปกครองของ อ.นายาง เมื่อ อ.นายางได้
เปลี่ยนชื่อเป็น อ.หนองจอก สมัยสงครามเอเชียบูรพา กระทรวงมหาดไทยย้ายอำเภอหนองจอกมา
ตั้งที่ ต.ชะอำ และเปลี่ยนชื่อ อ.หนองจอก เป็น อ.ชะอำในปัจจุบัน จึงทำให้ต.ชะอำอยู่ในเขต อ.
ชะอำตั้งแต่ พ.ศ.2487 เป็นต้นมา ปัจจุบันนี้ ต.ชะอำอยู่ในเขตการปกครองของเทศบาล ต.ชะอำ
ทะเลชะอำหน้าหนาว ชะอำจึงเริ่มเป็นที่รู้จัก โดยสืบเนื่องมาจาก การนิยมมาพักผ่อนที่หัวหินมี
ซึ่งมีชื่อเสียงมากในอดีต แต่เมื่อที่ดินแถบชายทะเลของหัวหินถูกจับจองจนหมด พวกเจ้านายชั้น
ผู้ใหญ่สมัยนั้นจึงพยายามหาสถานที่พักผ่อนแห่งใหม่ โดยการนำของสมเด็จกรมพระยานราธิป
ประพันธ์พงศ์ และได้พบว่าหาดชะอำเป็นชายหาดที่สวยงามไม่แพ้หัวหิน
หาดชะอำหลังฝนตก ปัจจุบันชะอำ ก็ยังคงมีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
อำเภอชะอำอยู่ห่างจากตัวเมือง 41 กิโลเมตร มีทางแยกซ้ายเข้าชายหาด ระยะทางประมาณ 2
กิโลเมตร เป็นชายหาดที่สวยงามและมีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบุรี ชะอำได้รับการพัฒนา
เจริญเติบโตขึ้น และยกฐานะเป็นอำเภอจนปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยจัดขบวนการรถไฟ
พิเศษนำ เที่ยวกรุงเทพฯ-ชะอำ ทุกวันหยุด รายละเอียดติดต่อหน่วยบริการเดินทาง โทร. 223-7010,
223-7020






วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

ประวัติความเป็นมา หัวหิน
ประวัติเมืองหัวหิน ก่อนหน้าที่ชื่อหัวหินยังไม่เกิด มีเรื่องเล่าขานกันว่าราวปี พ.ศ. 2377 ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พื้นที่เกษตรกรรมบางแห่งของเมืองเพชรบุรีแห้งแล้งกันดาร
มาก ราษฏรกลุ่มหนึ่งจึงทิ้งถิ่นย้ายลงมาทางใต้ จนมาถึงบ้านสมอเรียงซึ่งอยู่เหนือขึ้นมาจากเขา
ตะเกียบและบ้านหนองแกหรือบ้านหนองสะแก ที่บ้านสมอเรียงนี้มีหาดทรายชายทะเลแปลกกว่าที่
อื่น

คือมีกลุ่มหินกระจัดกระจายอยู่อย่างสวยงาม ทั้งที่ดินก็มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับทำไร่
ทำนาการประมง บรรพชนเหล่านี้จึงเป็นเสมือนผู้ที่ลงหลักปักเสาสร้างบ้านหัวหินขึ้น จนกลายเป็น
หมู่บ้านที่เรียกกันแต่แรกว่า บ้านสมอเรียง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชายกฤษดาภินิหาร ต้นราชสกุลกฤดากร)
เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สร้างตำหนักหลังใหญ่ชายทะเลด้านใต้ของหมู่หิน (ปัจจุบันอยู่ติดกับ
โรงแรมโซฟิเทลฯ) และประทานชื่อตำหนักว่า แสนสำราญสุขเวศน์ ต่อมาทรงปลูกอีกหลังหนึ่ง
แยกเป็น แสนสำราญ และ สุขเวศน์ เพื่อไว้ใช้รับเสด็จเจ้านาย พร้อมกับทรงสร้างเรือนขนาดเล็กใต้
ถุนสูงอีกหลายหลัง ซึ่งต่อๆ มาคือ บังกะโลสุขเวศน์ ทรงขนานนามหาดทรายบริเวณตำหนักและ
หาดถัดๆ ไปทางใต้เสียใหม่ว่า “หัวหิน” เป็นคนละส่วนกับบ้านแหลมหินเดิม โดยมีกองหิน
ชายทะเลเป็นที่หมายแบ่งเขต ซึ่งบ้านแหลมหินเดิมมีเขตด้านใต้ถึงเพียงแค่ต้นเกดใหญ่ชายทะเล
(ปัจจุบันอยู่หน้าโรงแรมโซฟิเทลฯ มีศาลเทพารักษ์ใหญ่) เท่านั้น ไม่ถึงที่ดินของเสด็จในกรมฯ
ครั้นเมื่อวันเวลาผ่านไป ชื่อ “หัวหิน” ก็แผ่คลุมทั้งหาดทั้งตำบลจนขยายเป็นอำเภอหัวหิน
ส่วนที่ดินแปลงที่อยู่ตรงหมู่หินชายทะเล เป็นของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวง
พิษณุโลกประชานาถ ซึ่งทรงสร้างตำหนักใหญ่ขึ้นถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือตำหนักขาว ครั้งหลังคือ
ตำหนักเทาและเรือนเล็กอีกหลายหลัง ซึ่งก็คือบ้านจักรพงษ์ในเวลาต่อมา ปัจจุบันคือโรงแรมเมเลีย
ซึ่งได้เปลี่ยนผู้ดำเนินการเป็นโรงแรมฮิลตัน
ในช่วงเวลาเดียวกันกับการสร้างพระราชวังไกลกังวล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชร
อัครโยธิน ต้นราชสกุลบุรฉัตร ก็ได้จัดสร้างตลาดฉัตร์ไชยขึ้นในที่ดินพระคลังข้างที่ โดยออกแบบ
ให้มีหลังคารูปโค้งครึ่งวงกลมต่อเนื่องกัน 7 โค้ง เพื่อสื่อความหมายว่าเป็นการสร้างขึ้นในรัชกาลที่
7 ทั้งตัวอาคารและแผงขายสินค้าเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ตัวตลาดโล่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก และ
จัดว่าเป็นตลาดที่ถูกสุขลักษณะที่สุดของประเทศไทยในขณะนั้น ชื่อตลาดฉัตร์ไชยนี้มาจากพระ
นามเดิมของพระองค์ คือพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรนั่นเอง ต่อมาตลาดฉัตร์ไชยและโรงแรมรถไฟ
หรือโฮเต็ลหัวหินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของชายทะเลหัวหิน ส่วนพระราชวังไกลกังวลนั้นถือว่าเป็น
สถานที่อันควรสักการะบูชา มากกว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
นับตั้งแต่มีการสร้างทางรถไฟสายใต้แล้วเสร็จ เชื่อมต่อกับชายแดนของประเทศมาเลเซีย หัวหิน
ก็มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่พักตากอากาศอันลือชื่อของไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อน ว่ายน้ำ
ตกปลา และตีกอล์ฟเนื่องจากมีสนามกอล์ฟ หัวหินรอยัลกอล์ฟ ซึ่งจัดเป็นสนามกอล์ฟระดับ
มาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย
ชื่อเสียงของหัวหินนั้น เติบโตเคียงข้างมากับโรงแรมรถไฟก็ว่าได้ ต่อมามีการสร้างบังกะโลขึ้น
คือ เซ็นทรัลหัวหินวิลเลจ ซึ่งได้ถูกคัดเลือกให้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง “Devil's
Paradise” เช่นเดียวกับโรงแรมรถไฟหัวหิน ซึ่งใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง “The
Killing Fields” โดยเป็นการจำลองสถานที่คือ โรงแรมชั้นนำในกรุงพนมเปญในยุคสงคราม

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553