วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความเป็นมาของการศึกษา



ความเป็นมาของการศึกษา
ความหมายและขอบเขตของการศึกษา 


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวพระราชดำริเกี่ยวกับความหมายของการศึกษา เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๐ ไว้ดังนี้ 

"การศึกษาเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ ทัศนคติ ค่านิยม และคุณธรรมของบุคคล เพื่อให้เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพและประสิทธิภาพ การพัฒนาประเทศก็ย่อมทำได้สะดวกราบรื่น ได้ผลที่แน่นอนและรวดเร็ว" 

จะเห็นว่าการศึกษามีความหมายใน ๒ มิติ คือมิติแรกเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ในเรื่องต่างๆ และมิติที่สองเป็นการพัฒนาบุคคลผู้ศึกษาเองให้มีความคิด ความประพฤติ ทัศนคติ ค่านิยม และคุณธรรม ซึ่งทั้งสองมิติแห่งความหมายนี้แยกกันไม่ได้ ตรงกันข้ามจะต้องควบคู่กันไปเพราะเมื่อบุคคลหนึ่งมีความรู้ แต่มีความประพฤติ ทัศนคติ ค่านิยมและคุณธรรม ที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ย่อมจะนำไปสู่การใช้ความรู้ในทางที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อทั้งตนเองและส่วนรวมได้ ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งในเรื่องนี้มีความหมายตอนหนึ่งว่า 

"ความรู้กับดวงประทีปเปรียบกันได้หลายทาง ดวงประทีปเป็นไฟที่ส่องแสงเพื่อนำทางไป ถ้าใช้ไฟนี้ส่องไปในทางที่ถูก ก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสะดวกเรียบร้อย แต่ถ้าไม่ระวังไฟนั้น อาจเผาผลาญให้บ้านช่องพินาศลงได้ ความรู้เป็นแสงสว่างที่จะนำเราไปสู่ความเจริญ ถ้าไม่ระมัดระวังในการใช้ความรู้ก็จะเป็นอันตรายเช่นเดียวกัน จะทำลายเผาผลาญบ้านเมืองให้ล่มจมได้" (๒๘ มกราคม ๒๕๐๕) 

การศึกษาในความหมายนี้สะท้อนให้เห็นว่า การศึกษาไม่ใช่สิ่งที่จบหรือสิ้นสุดในตัวเอง แต่การศึกษาจะต้องนำไปสนองต่อเป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายบางประการ โดยเฉพาะต่อสังคมส่วนรวม (ซึ่งจะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป) นั่นหมายความว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือที่จะช่วยนำพาให้บุคคลและสังคมไปสู่จุดมุ่งหมายที่พึงประสงค์ได้ การศึกษาที่สมบูรณ์จะต้องรวมไปถึงการใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมได้จึงจะถือได้ว่าเป็นการศึกษาในความหมายที่ครบถ้วน สมดังที่พระราชกระแสที่ว่า 

"การที่มีการศึกษาสมบูรณ์แล้วนี้ ทำให้แต่ละคนหลีกเลี่ยงไม่ได้จากความรับผิดชอบที่จะต้องใช้ความรู้ สติปัญญาของตนให้เป็นประโยชน์และเป็นความเจริญวัฒนาแก่บ้านเมืองและส่วนรวม" (๑๒ กรกฎาคม ๒๕๑๖) 

พระองค์ทรงชี้ถึงปรัชญาการศึกษาที่น่าสนใจยิ่งคือ เมื่อบุคคลหนึ่งมีการศึกษาที่สมบูรณ์ ผลแห่งการมีการศึกษาสมบูรณ์นี้จะกำหนดให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องใช้ความรู้และสติปัญญาของตนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคลอื่นและสังคมส่วนรวมโดยไม่ต้องมีบุคคลใดมาร้องขอหรือเรียกร้องให้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวมหรือประเทศชาติแต่การปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคมหรือประเทศชาติของผู้มีการศึกษาที่สมบูรณ์เกิดขึ้นแต่ภายในจากจิตสำนึกแห่งสภาวะของการมีความรู้และสติปัญญาสมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีสิ่งจูงใจหรือข้อแลกเปลี่ยน เช่นประโยชน์ส่วนบุคคลหรือรางวัลใดๆมาเป็นแรงผลักดันให้ผู้ที่มีการศึกษาสมบูรณ์ปฏิบัติหน้าที่อันควรจะกระทำ ดังนั้นการศึกษาสมบูรณ์จึงมีความครบถ้วนในตัวเองทั้งองค์ความรู้และการใช้ความรู้เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม ในความหมายเช่นที่กล่าวนี้การศึกษาจึงมีความหมายในเชิงสร้างสรรค์และเป็นผลดีเท่านั้น ถ้าจะกล่าวในเชิงกลับกันอาจกล่าวได้ว่าการศึกษาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวบุคคลหรือส่วนรวมนั้นไม่ใช่การศึกษาที่สมบูรณ์ และการศึกษาที่สมบูรณ์นี้เป็นการศึกษาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งหวังให้เกิดขึ้นในพสกนิกรและประเทศชาติของพระองค์ 

การศึกษาที่จะนำไปสู่การศึกษาสมบูรณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้ว่าต้องประกอบด้วย การศึกษาทางวิชาการและการศึกษาทางธรรม ทั้งนี้เพื่อการศึกษาทางธรรมคอยกำกับการศึกษาทางวิชาการให้ดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องและสนองตอบต่อเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ดังพระราชดำรัสมีความตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า 

"การแบ่งการศึกษาเป็นสองอย่าง คือการศึกษาวิชาการอย่างหนึ่ง วิชาการนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองและแก่บ้านเมือง ถ้ามาใช้ต่อไปเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ขั้นที่สองก็คือ ความรู้ที่จะเรียกได้ว่าธรรม คือรู้ในการวางตัว ประพฤติและคิด วิธีคิด วิธีที่จะใช้สมองมาทำเป็นประโยชน์แก่ตัว สิ่งที่เป็นธรรมหมายถึงวิธีประพฤติปฏิบัติ คนที่ศึกษาในทางวิชาการและศึกษาในทางธรรมก็ต้องมีปัญญา แต่ผู้ใช้ความรู้ในทางวิชาการทางเดียวและไม่ใช้ความรู้ในทางธรรม จะนับว่าเป็นปัญญาชนมิได้" (๑๘ ธันวาคม ๒๕๑๓) 

นั่นหมายความว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดความรู้ ทั้งความรู้ในทางวิชาการและความรู้ในทางธรรม ด้วยความรู้ทั้งสองด้านนี้จะก่อให้เกิด "ปัญญา" ขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายความหมายของปัญญาว่า 

"ปัญญาแปลอย่างหนึ่งคือ ความรู้ทุกอย่างทั้งที่เล่าเรียนจดจำมา ที่พิจารณาใคร่ครวญคิดเห็นขึ้นมา และที่ได้ฝึกฝนอบรมให้คล่องแคล่วชำนาญขึ้นมา เมื่อมีความรู้ความชัดเจนชำนาญในวิชาต่างๆดังว่า จะยังผลให้เกิดความเฉลียวฉลาดแต่ประการสำคัญนั้นคือความรู้ที่ผนวกกับความเฉลียวฉลาดนั้นจะรวมกันเป็นความสามรถพิเศษขึ้น คือความรู้จริง รู้แจ้งชัด รู้ตลอด ซึ่งจะเป็นผลต่อไปเป็นความรู้เท่าทัน เมื่อรู้เท่าทันแล้วก็จะเห็นแนวทางและวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นอุปสรรคปัญหา และความเสื่อม ความล้มเหลวทั้งปวงได้ แล้วดำเนินไปตามทางที่ถูกต้องเหมาะสมจนบรรลุความสำเร็จ" (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๑) 

ปัญญาในความหมายนี้ ทรงชี้ว่าเป็นสภาวะแห่งการรู้จริง การรู้แจ้งชัดและการรู้ตลอด ซึ่งสภาวะแห่งการรู้ทั้งสามนี้จะนำไปสู่การรู้เท่าทันและปัญญาในความหมายดังกล่าวนี้จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคและนำไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด 

จากที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแสดง ถึงความหมายของการศึกษาที่เป็นปัจจัย ก่อให้เกิดความรู้และสภาวะแห่งการรู้จริงและรู้ทุกอย่าง เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญญาและด้วยปัญญาจะนำไปสู่ความสำเร็จ กล่าวให้ชัดเจนคือ การศึกษา ความรู้และปัญญาเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์ที่แยกออกจากกันไม่ได้ การจะเข้าใจเรื่องหนึ่งเรื่องใดให้สมบูรณ์จะต้องเข้าใจทั้งสามเรื่องอย่างเชื่อมโยงกัน 

การศึกษาในความหมายนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายว่าเป็นเรื่องของทุกคนตั้งแต่เกิดและไมีมีที่สิ้นสุดตลอดชีวิตของคน ทรงแสดงขอบเขตการศึกษาในชีวิตคนกับบรรดา นักศึกษามหาวิทยาลัยไว้ดังนี้ 

"การศึกษานั้นเป็นเรื่องของทุกคน และไม่ใช่ว่าเฉพาะในระยะหนึ่ง เป็นหน้าที่โดยตรงในระยะเดียวไม่ใช่อย่างนั้น ตั้งแต่เกิดมาก็ต้องศึกษาเติบโตขึ้นมาก็ต้องศึกษา จนกระทั่งถึงขั้นที่เรียกว่าอุดมศึกษา อย่างที่ท่านทั้งหลายกำลังศึกษาอยู่ หมายความว่าการศึกษาที่ครบถ้วน ที่อุดม ที่บริบูรณ์ แต่ต่อไปเมื่อออกไปทำหน้าที่การงานก็ต้องศึกษาต่อไปเหมือนกัน มิฉะนั้นคนเราก็อยู่ไม่ได้ แม้จบปริญญาเอกแล้วก็ต้องศึกษาต่อไปตลอด หมายความว่า การศึกษาไม่มีสิ้นสุด" (๒๐ เมษายน ๒๕๒๑) 

พระราชดำรัสองค์นี้ชี้ถึงขอบเขตการศึกษาที่ครอบคลุมตลอดชีวิตของบุคคล ตั้งแต่เกิดต่อเนื่องกันจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เสมือนการศึกษากับชีวิตเป็นของคู่กัน นั่นหมายความว่าขอบเขตของการศึกษาครอบคลุมถึงทุกเรื่องและทุกเวลาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์อาจกล่าวอีกนับหนึ่งได้ว่าการศึกษามิได้มีขอบเขตเฉพาะเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง 

ด้วยความหมายและขอบเขตของการศึกษาตามแนวพระราชดำรินี้ จะเห็นว่าการศึกษาเป็นหัวใจของชีวิตมนุษย์ และการศึกษาเป็นเครื่องนำทางที่สำคัญของมนุษย์ให้ไปสู่การพัฒนาคุณภาพตนเอง และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม กล่าวให้ชัดเจนโดยสรุปคือความหมายของการศึกษาจะต้องกำกับด้วยจุดหมายของการศึกษาด้วย กล่าวคือเป็นการศึกษาที่สร้างสรรค์และเป็นผลดีแก่บุคคลและส่วนรวมเท่านั้น


วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี

หนาวแล้ว เราควรจะขึ้นเหนือ

แต่ถ้าคนขึ้นเหนือกันเยอะๆ เราก็ควรลงใต้ เพื่อดูทะเลในมุมที่แปลกไป
คนน้อยๆ เดินเล่นสบายใจกว่าเยอะ


ภาพที่ 1 .. ปางอุ๋ง

หนาวนี้เที่ยวไหนดี

ภาพที่ 2 .. ทุ่งแสลงหลวง...พิษณุโลก





ภาพที่ 3.. น้ำตกหมันแดง..เพชรบูรณ์





ภาพที่ 4 .. เกาะสีชัง
เกาะสีชัง


ภาพที่ 5 .. เขื่อนศรีนครินทร์..กาญจนบุรี





ภาพที่ 6 .. น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น..กาญจนบุรี





ภาพที่ 7 ..ริมทะเลเกาะทะลุ..ประจวบ





ภาพที่ 8 ดอยอ่างขาง..เชียงใหม่





ภาพที่ 9 ทิวลิปนนท์..นนทบุรี





ภาพที่ 10 เขาค้อ..เพชรบูรณ์





ภาพที่ 11 ปาย-แม่ฮ่องสอน





ภาพที่ 12 ภูสอยดาว..อุตรดิต





ภาพที่ 13 เขายายเที่ยง..ลพบุรี (ทุ่งดอกทานตะวัน)







ภาพที่ 14 ทับเบิก..เพชรบูรณ์





ภาพที่ 15 ดอยอินทนนท์..เชียงใหม่





ภาพที่ 16 น้ำตกเอราวัณ..กาญจนบุรี






ภาพที่ 17 ..แม่จอนหลวง..เชียงใหม่





ภาพที่ 18 .. ภูชี้ฟ้า..เชียงราย





ภาพที่ 19 .. ห้วยน้ำดัง..เชียงใหม่






ถ้าหากภาพใดแจ้งสถาที่ผิด ก็ชี้แจงแจ้งกันไว้ด้วยนะจ๊ะ
?? ใครเคยไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างแล้วเอ่ย โพสต์บอกกันไว้ด้วยนะ

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประวัติส่วนตัว






น.ส.พิมพร เวชราภรณ์ (กุ๊ก) 


เกิดวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2529 อายุ 24 ปี


186 หมู่ที่ 1 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 1021

คติประจำใจ  ทำวันนี้ให้ดี่ที่สุด สีที่ชอบ สีเขียว  สีฟ้า


งานอดิเรก  ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต  ทำอาหาร









วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

น้ำตกเขาชะเมา (น้ำตกคลองน้ำใส)
แยกจากถนนสุขุมวิทที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 274 เข้าไปประมาณ 16 กิโลเมตร ลักษณะน้ำตกเป็น
ธารน้ำใสรองรับน้ำตกขนาด
ใหญ่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ประกอบด้วยน้ำตกที่สวยงาม 8 ชั้น ได้แก่ วังมัจฉา วังมรกตผา
กล้วยไม้ น้ำตกหกสาย และผาสูง
เป็นต้น ในชั้นวังมัจฉามีปลาพลวง ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่อาศัยอยู่อย่างชุกชุม

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

หาดแม่รำพึง ชื่อดังมาก ใน เรื่องผีดุ เชื่อว่า เป็น หาดผีสิง หรือ
หาดกินคน !!

เมื่อราวสองปีก่อน ผมไปเที่ยวระยองตามคำชวนของเพื่อนชื่อสมชัยที่ทำงานธนาคารอยู่บ้านฉาง ได้
ไปเที่ยวบ้านแกลง อนุสาวรีย์สุนทรภู่ สวนสน ชายหาดสวยงามหลายแห่ง เช่น หาดทรายปากน้ำ
เมืองระยอง หาดแม่พิมพ์ หาดบ้านเพที่ลงเรือข้ามไปเกาะเสม็ดได้
เพื่อนเล่าว่าเกาะเสม็ดนั้น ชาวบ้านเรียกกันว่าเกาะแก้วพิสดาร ที่เป็นฉากในวรรณคดีเรื่องพระอภัย
มณี
หาดแม่รำพึงชื่อดังมากในเรื่องผีดุ เชื่อว่าเป็นหาดผีสิง หรือหาดกินคน!
สาเหตุเพราะมีคนจมน้ำตายทุกปี บางปีก็หลายคน โดยธรรมชาติก็คือ คลื่นลมแรง กับพื้นทรายใต้
น้ำยุบลงเป็นแอ่งลึก แม้จะเล่นน้ำตื้นๆ ก็อาจหลุดลงไปในแอ่งมรณะได้ง่ายดาย
หลายๆ คนอาจทะลึ่งตัวขึ้นมาได้ทัน แต่หลายคนก็ชะตาขาด เมื่อโผล่ขึ้นมาจะโดนคลื่นลูกโตๆ
โหมซัดจนจมหายลงไปใต้น้ำ ขาดใจตายกลายเป็นผีเฝ้าหาดมานับไม่ถ้วน...เหตุนี้เองจึงเรียกว่าหาด
ผีดุ หาดกินคน!
เชื่อกันว่าคนที่ตายซับตายซ้อน วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่นั่น เรียกว่าผีน้ำบ้าง พรายทะเลบ้าง คอยเรียก
คนชะตาขาดไปอยู่ด้วยกัน บ้างก็เชื่อว่าเมื่อเอาชีวิตคนอื่นได้ตัวเองก็จะได้ไปผุดไปเกิด แต่บ้างก็เชื่อ
ว่ามีผีเจ้าถิ่นดุร้ายมาก คอยคร่าวิญญาณดวงใหม่ๆ เพื่อเอาไปเป็นบริวาร
สมชัยเล่าว่ามีคนโดนผีหลอกหลายคนมาเล่าให้ฟัง ว่าเห็นเดินวนเวียนอยู่ตามชายหาดตอนกลางคืน
พอเห็นหน้าดำมะเมื่อม นัยน์ตาแดงจ้าราวถ่านไฟก็รู้ว่าเป็นผีเจ้าถิ่นแน่นอน
ไม่ว่าใครที่เห็นภาพสยองขวัญก็ล้วนแต่แผดร้องโหยหวน ออกวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตกันทั้งนั้นบางคนถึงกับสลบคาที่ บางคนก็จับไข้เพ้อคลั่งไปหลายวัน
                                                    
วันสุดท้ายที่ระยอง เพื่อนก็พาผมไปเที่ยวหาดแม่รำพึง
ตอนสายวันอาทิตย์มีผู้คนคึกคัก ทั้งพ่อค้าแม่ขาย นักท่องเที่ยวขวักไขว่หนาตา บ้างก็เดินเล่นกันบ้าง
หยุดชมวิวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันบ้าง สายลมพัดโชยไม่ขาดระยะ ชายหาดกว้างขวางร่มรื่น สบายใจม
ผมเห็นผู้คนลงไปเล่นน้ำ ดำผุดดำว่ายอย่างสนุก หนุ่มสาวสาดน้ำใส่กันเสียงหัวเราะร่าเริงดัง
สมชัยเล่าว่าช่วงนี้ไม่ใช่หน้ามรสุม คลื่นลมสงบ ถือว่าปลอดภัยสำหรับคนที่จะลงไปเล่นน้ำ แม้จะมี
ป้ายบอกให้ระวังอันตรายก็ตาม เพราะถ้ามีคลื่นลมแรงจะปักธงสีแดงไว้เตือนภัยและห้ามลงเล่นน้ำ
เมื่อนึกถึงภาพชายหาดตอนกลางคืนคงเปล่าเปลี่ยวน่าดู คนที่ต้องไปหาหอยหาปูต้องใจกล้า
พอสมควร ได้ข่าวว่ามีคนถูกผีหลอกจังๆ หลายราย ทำให้ต้องไปกันเป็นกลุ่มพอให้อุ่นใจ หรือไม่ก็
เลิกไปเดินท่อมๆ ที่ชายหาดอีกแล้ว เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการขวัญหนีดีฝ่อโดยใช่เหตุ
ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงหวีดร้องก็ดังก้องไปทั้งชายหาด คนอื่นๆ หันขวับไปด้วยความตกใจ
ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้ตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน!
นั่นคือ ชายคนหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำใกล้ๆ หาด สองมือชูว่อนขอความช่วยเหลือ นัยน์ตา
เหลือกลานบอกความหวาดกลัวสุดขีด ก่อนจะจมวูบลงไปในคลื่นลูกใหญ่ที่โหมซัดบัดดล
ชายหนุ่มสองคนนุ่งกางเกงอาบน้ำยืนอยู่บนหาด รีบพุ่งตัวลงน้ำเข้าไปช่วยเหลือทันที ขณะที่คน
อื่นๆ ก็วิ่งเข้าดูด้วยความตื่นเต้น ผู้หญิงสูงอายุสอง-สามคนถึงกับเป็นลมไปด้วยความตกใจกลัว
เราวิ่งเข้าไปดูด้วยใจเต้นระทึก เกือบพร้อมๆ กับที่ชายทั้งสองช่วยกันลากคนจมน้ำขึ้นมาได้อย่าง
ทุลักทุเล แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่หรา หอบหายใจถี่เร็วดว้ ยความเหน็ดเหนื่อยตื่นเต้นทั้งสามคน
ท่ามกลางไทยมุงที่ถามกันแซดว่าเกิดอะไรขึ้น? ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า? เล่นน้ำตื้นๆ คลื่นก็ไม่แรง คง
จะหลุดลงไปในแอ่งมรณะที่เป็นกับดัก ทะลึ่งตัวขึ้นมาโดนคลื่นลูกโตๆ ซ้ำเติม...ซึ่งเป็นสาเหตุ
สำคัญในการกลืนกินชีวิตผู้คนมาแล้วมากมายอย่างแน่นอน
...ชายหนุ่มที่รอดตายอย่างหวุดหวิดลุกขึ้นมาเสยผม มองเห็นไหล่กว้างอกกำยำ เล่าว่าพวกเขาทั้ง
สามคนมาจากกรุงเทพฯ ว่ายน้ำแข็ง และไม่ได้เท้าหลุดพื้นแน่นอน
เขากลืนน้ำลาย ก่อนจะเล่าต่อด้วยเสียงแหบเครือ
"ผมยืนอยู่ในน้ำตื้นๆ เหนือเอวขึ้นมานิดหน่อย กำลังกวักมือเรียกเพื่อนให้ลงมาเล่นน้ำด้วยกัน จู่ๆ ก็
มีอะไรไม่รู้มาพันขา แล้วดึงวูบจนผมจมดิ่งลงไปเลย...มันคล้ายกับมือคนจริงๆ"
เสียงผู้หญิงวี้ดว้าย บางคนก็ยกมือปิดปาก...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในน้ำแม้แต่คนเดียว เสียงคลื่นลม
สาดซ่าฟังเผินๆ เหมือนมีใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะเย้ยหยันมาจากใต้ทะเล ฟังแล้วขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
อยู่ห่างจากตัวเมืองระยอง ประมาณ 11 กิโลเมตร จากถนนสุขุมวิท มีทางแยกขวาที่กิโลเมตร 229
เข้าหาดแม่รำ พึงชายหาดมีความ
ยาว 12 กิโลเมตร สุดหาดเป็นที่ตั้งของบ้านก้นอ่าว ถนนเลียบชายหาดยาว 10 กิโลเมตร มีที่พัก
สำหรับนักท่องเที่ยวมากมายชายหาด
สะอาด สามารถเล่นน้ำได้
หาดแม่รำพึง - ลานหินขาว - บ้านก้นอ่าว
แต่เดิมที่บริเวณหาดแม่รำพึงและบ้านก้นอ่าว เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านของชาวประมงเล็ก
แห่งหนึ่ง และบ้านก้นอ่าว เป็นหมู่บ้านที่ไกลที่สุด
ในอดีตและมีลักษณะเป็นอ่าวเล็กๆ จึงเรียกกันว่าบ้านก้นอ่าว และส่วนหาดแม่รำพึงก็มี
ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่ามีหญิงสาวชาวบ้าน
ได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตายบริเวณนี้เนื่องจากผิดหวังในความรักจึงเป็นที่มาของ "แม่รำพึง"
                                                  
อะควาเรียม :: Rayong Aquarium
ตั้งอยู่ที่ริมอ่าวบ้านเพ ตำบลเพ เป็นสถานที่ศึกษา ทดลองและวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ทะเลและพรรณไม้น้ำ
อีกทั้งยัง เป็นแหล่งรวบรวม
พันธุ์สัตว์น้ำที่สวยงามและหายาก รวมทั้งความรู้ทางด้านทรัพยากรสัตว์ทะเลและการประมง โดย
แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรกจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ โดยรวบรวมและจัดแสดงพันธุ์ปลาสวยงาม + ปลาเศรษฐกิจ สัตว์น้ำ
ที่หายาก และพรรณไม้น้ำของไทย อุโมงค์ทางเดินใต้ทะเลจำลอง สัมผัสกับสัตว์ทะเล
ส่วนที่สอง จัดแสดงนิทรรศ การ โดยแสดงชีวประวัติสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม วิวัฒนาการของ
เรือประมงและเครื่องมือประมง
จำลองนิเวศน์ป่า ชายเลนและส่วนที่สาม จัดแสดงพิพิธภัณฑ์ โดยนำตัวอย่างของสัตว์ทะเลที่
น่าสนใจ เช่นปะการัง หอยทะเล
อะควาเรียม (สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง)
ตั้งอยู่ที่ หมู่ 2 ต.เพ เปิดให้เข้าชม วันพุธ-ศุกร์ เวลา 10.00-16.00
น. วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00-17.00 น.
                                              




วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทะเล

หาดจอมเทียน

เป็นหาดที่อยู่ทางทิศใต้อยู่หางจากตัวเมืองพัทยาประมาณ 4 กิโลเมตร ชายหาดมีความยาว 6
กิโลเมตร มีถนนที่ร่มรื่นเลียบชายหาดโดยตลอด หาดนาจอมเทียนเป็นหาดที่เงียบสงบ นักท่องเที่ยว
ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศนิยมเดินทางไปพักฝ่อน เล่นน้ำ เล่นกระดานโต้คลื่น ขับเรือสกู๊ต
เตอร์และเล่นกิจกรรมทางน้ำอื่นๆบริเวณชายหาดมีร้านอาหารร้านค้า ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว
หาดจอมเทียน มีถนนที่ร่มรื่นเลียบชายหาดโดยตลอด มีร้านอาหาร ร้านค้าไว้คอย
บริการนักท่องเที่ยว มีโรงแรมหรู รีสอร์ทดีๆ คอนโดมิเนียม ร้านอาหารทะเลสดๆ ตั้งอยู่
ตลอดแนว ทางด้านชายหาดเป็นหาดที่เงียบสงบชวนพักผ่อน เล่นน้ำ และสนุกสนานกับ
กิจกรรมทางน้ำที่มีให้บริการแทบทุกชนิด เช่น กระดานโต้คลื่น ขับเรือสกู๊ตเตอร์ เจ็ทสกี
และวินด์เซิร์ฟ เป็นต้นส่วนผู้ที่ชอบนอนพักผ่อนรับลมทะเล ก็มีเตียงผ้าใบพร้อมร่ม
ชายหาดให้บริการ
ในตอนเย็นๆก็มีวิวยามสวยๆอาทิตย์ตกให้ชมอีกด้วย
หาดจอมเทียนนี้เป็นสถานที่ที่ครบอครัวส่วนใหญ่จะเลือกมาพักผ่อน เนื่องจากเป็นหาดที่สงบและมี
สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหาดพัทยา หาดพัทยานั้นเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่น
ชอบปาร์ตี้
หาดจอมเทียนนั้นมีการให้บริการเจ็ทสกี และวินด์เซิร์ฟเนื่องจากมีชายหาดที่ยาวและมีเรือและ
สมอเรือน่อย นอกจากนี้น้ำทะเลยังสะอาดกว่า และยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการว่ายน้ำด้วย

หาดจอมเทียนนั้นจะเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ พยายามที่ขายตั้งแต่ไอศกรีม ผลไม้ และอื่นๆใน
ขณะที่คุณต้องการพักผ่อนโดยการนั่งบนเก้าอี้ริมชาย ซึ่งอาจจะก่อความรำคาญให้แก่คุณแต่หาด
จอมเทียนนี้ยังดีกว่าหาดพัทยา
นอกจากนี้แล้วหาดจอมเทียนยังมีร้านอาหารหลากหลายประเภทจากหลายแห่งทั่วโลก ณ สวนสนุก
พัทยาปาร์คในบริเวณหาดจอมเทียนนั้นมีให้บริการภัตตาคารที่หมุน 360 องศา ซึ่งคุณสามารถดูวิว
พัทยาจากมุมสูงบนชั้นที่สูงที่สุดของอาคารซึ่งจะหมุนไปเรื่อยๆ ไม่ควรพลาดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้
พัทยาปาร์ค เป็นสวนสนุกตั้งอยู่ที่หาดจอมเทียน มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ น้ำวน และสไลด์เดอร์
ขนาดใหญ่ บัตรผ่านประตูราคาอยู่ที่ 100 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และ 50 บาทสำหรับเด็กที่ส่วนสูงไม่
เกิน 120 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆที่ไม่ควรพลาด เช่น กระโดดหอ รถไฟเหาะ และ
อื่น ๆ